วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

แขกครองโลก วอร์แรนท์ครองเมือง

ตลาดหุ้นไทยยังคงทะยานขึ้นต่อไป ซึ่งก็ควรจะขึ้นมาตั้งนานแล้ว  เพราะปัจจัยต่าง ๆ  เกื้อหนุนให้ ตลาดหลักทรัพย์ควรกลับไปหา ดัชนีที่เคยทำสถิติไว้สูงสุดซึ่งอาจใช้เวลานานหน่อย  แต่ในที่สุด ก็คงจะถึง  1,800 จุด และทำราคาสูงสุดใหม่ได้อีก  นักลงทุนต้องคอยติดตามสถานการณ์ไว้เรื่อย ๆ

แขกครองโลก  หมายถึง แขกอินเดีย  จะครอบครองเศรษฐกิจของโลกใบนี้ เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่ อินเดียมีอยู่  ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาคของโลก  ไม่ว่าจะเป็นทองคำ (Gold) ที่อินเดียซื้อต่อมาจาก IMF  ซึ่งอินเดียเหมาหมดเลย และยังคงมีทองคำอยู่ในครอบครองจำนวนมาก   อุตสาหกรรมเหล็ก ก็มี Mittal  ซึ่งก็ซื้อหุ้นใน GSTEEL  โดยที่ Mittal เป็นเจ้าพ่อเหล็กรายใหญ่ของโลก  มองไปมุมไหนในโลกนี้  ธุรกิจเหล็กก็ต้อง Mittal  ต่อมา  อุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลาสติก  ก็ต้อง Indorama  ซึ่งมีหุ้น IVL เป็นเจ้าพ่อธุรกิจพลาสติก เคมี  รายใหญ่ของโลกอีกเช่นกัน  อุตสาหกรรม Computer  อินเดียก็เก่งกล้า สามารถอย่างมาก  มีความชำนาญไม่แพ้ชาติใดในโลก  ประกอบกับประชากรจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก  รองจากประเทศจีน กำลังซื้อ กำลังการผลิต กำลังการบริโภค มีขนาดมหึมาในอีกไม่ช้านี้  ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้  แขกครองโลกคงไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างแน่นอน

วอร์แรนท์ (Warrant) ครองเมือง  หมายถึง  ในเวลาที่ตลาดหุ้นคึกคัก  มูลค่าซื้อขายมากมาก  หุ้นที่มีโอกาสได้กำไรมากที่สุดคือ ใบสำคัญสิทธิในการซื้อขายหุ้นสามัญ หรือวอร์แรนท์  จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจอย่างมาก (very interesting) เพราะสามารถพุ่งขึ้นไปได้มากกว่า 30 เปอร์เซ็นในแต่ละวัน  ซึ่งข้อจำกัดของหุ้นสามัญก็คือ  สูงสุดได้ไม่เกิน 1 ceiling หรือ ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็น นั่นเอง   จึงกล่าวได้ว่า  วอร์แรนท์ครองเมือง  คือ จะมีหุ้นวอร์แรนท์วิ่งกันเพ่นพล่านเต็มไปหมด  (ไม่นับรวม derivative warrant ซึ่งมาแจ้งเกิดไม่นานนี้  แต่ส่วนใหญ่อิงกับหุ้นพื้นฐานทั้งสิ้น)

นักลงทุนจึงควรสนใจในปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามจับตาดูความเคลื่อนไหวเพื่อการเก็งกำไรหรือการลงทุน  ที่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกตัว

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

วิกฤตญี่ปุ่นคือโอกาสของไทย

ญี่ปุ่นประสบปัญหาแผ่นดินไหว (EarthQuake)  เกิดคลื่นยักษ์ (Tsunami) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่วไหล (Nuclear Leak)  ปัจจัยเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมหลายอย่างที่ญี่ปุ่นเกิดการหยุดชะงัก  และอาจเปลี่ยนแปลงแนวโน้มการผลิตสินค้าและบริการมายังเอเชีย เช่น ไทย   ซึ่งอาจได้รับส้มหล่นจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ได้

ผลกระทบที่เห็นได้จากญี่ปุ่น คือ
1. เรื่องอาหาร  ผลิตภัณฑ์สินค้าจากทะเลปนเปื้อนสารพิษ  เช่น  เนื้อปลา  ปลาดิบ  กุ้ง   เป็นต้น  ขาดแคลนอาหารทดแทน เช่น  ข้าว  หมู  ไก่   ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารจากไทย ก็ได้รับอานิสงส์ เช่น CPF  TLUXE  GFPT   เป็นต้น
2. เรื่องที่อยู่อาศัย  มีผลกระทบจากแผ่นดินไหว และมีคลื่นยักษ์เข้าทำลาย โรงงาน  ที่อยู่ตามชายทะเล เป็นต้น   ส่งผลให้  หุ้นอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้ผลดี เช่น  หุ้นนิคมอุตสาหกรรม AMATA  NNCL  HEMRAJ  หุ้นบ้านเดี่ยว SPALI   หุ้นคอนโด  LPN  SIRI  ซึ่งอาจมีผลทางด้านจิตวิทยาในการลงทุน
3. อุตสาหกรรมรถยนต์  โรงงานรถยนต์   รถยนต์ถูกน้ำทะเลซัด ต้องซ่อมแซมเยอะ  โรงงานประกอบอุตสาหกรรมเสียหาย  ผลิตชิ้นส่วนไม่ได้ ไม่ทัน เป็นต้น   ส่งผลให้ อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ได้รับออเดอร์เพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยกับสิ่งที่หายไป  AH   SAT  TRU 
4. เรื่องพลังงานไฟฟ้า  เชื้อเพลิง  จากการที่โรงไฟฟ้า nuclear  เกิดรั่วไหล  ทำให้ การจ่ายกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอ  ส่งผลให้ไทย ได้รับผลดีด้านพลังงาน เช่น  โรงกลั่น TOP  BCP  RPC  ถ่านหิน BANPU  UMS  AGE   ซึ่งเป็นพลังงานที่ใช้แทนพลังงานไฟฟ้า nuclear 
5. เรื่องสิ่งแวดล้อม  จากการที่มีกากของเสีย  มีสารพิษ  ซึ่งต้องบำบัด กำจัด  อุตสาหกรรมที่ใช้ในการกำจัดขยะมลพิษ  เช่น  สารเคมีบางประเภท  บริษัทกำจัดขยะมลพิษ  อาจได้รับผลดีด้วย BWG  GENCO  PRO

ดังนั้น  นักลงทุน ควรจะพิจารณาปัจจัยเหล่านี้เข้าไปด้วย  การลงทุนก็ต้องหาจังหวะ ฉวยโอกาสจากสิ่งที่เกิดขึ้น  นำไปประมวลผลว่า  จะมีผลกระทบอะไรบ้างตามมาหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ  ได้อุบัติแล้ว  ถ้านักลงทุนมีสิ่งเหล่านี้ ก็จะได้ประโยชน์จากการใช้เงินทุนเพื่อตอบสนองสิ่งรอบตัวได้ และจะได้กำไรเป็นการตอบแทน

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

องค์ประกอบนักลงทุนที่ประสบผลสำเร็จพึงมี

ปัจจัยที่นักลงทุนซึ่งประสบผลสำเร็จในการลงทุนต้องมีได้แก่
1.การมีเวลาในการดูแลหุ้น
นักลงทุนที่ขยัน  จะมีโอกาสในการมองเห็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโต และเห็นจังหวะในการเข้าทำ ซึ่งก่อให้เกิดผลกำไรที่ตามมาอย่างมากมาย  ไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นแบรนด์เนม  หุ้นโนเนม ก็อาจสร้างกำไรได้อย่างมหาศาลภายในชั่วพริบตา หรือเพียงชั่วข้ามคืนได้  ขออย่าได้จำกัดตนเองในการแสวงหาหนทางทำกำไร

2.การเม็ดเงินที่เพียงพอต่อการลงทุน
เมื่อเห็นโอกาสแล้ว  นักลงทุนต้องมีเม็ดเงินที่เพียงพอในการซื้อหุ้น  การคาดหวังซื้อแล้ว ขายทิ้งภายใน 1 วัน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่บางครั้งหุ้นวิ่งต่อ หรือถือไว้อีกสักระยะหนึ่ง  กำไรมีมูลค่ามากกว่าอีก 3-4 เท่าตัว  ก็จะทำให้นักลงทุน ไม่ได้รับโอกาสนั้น  ถ้าไม่มีเม็ดเงินลงทุน

3.ความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจซื้อขาย
องค์ประกอบนี้สำคัญอย่างยิ่ง  เพราะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย ในการแสวงหากำไร  ต้องกล้าซื้อ เมื่อเห็นว่าโอกาสกำไรมีสูง  และกล้าขายทิ้งเมื่อไม่มีโอกาส  และกล้าขายรับกำไรที่ควรต้องรับ อย่ากลัวมากเกินไป  อย่าขี้เหนียวซื้อหุ้น  อย่าโลภมากเวลาได้กำไรงามแล้ว ต้องควรตักตวง อย่าปล่อยให้กำไรลอยนวล  ไม่งั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมา ก็สูญเปล่า

องค์ประกอบทั้ง 3 อย่างนี้  ผู้ที่เป็นนักลงทุนที่มีอัตรากำไรดีกว่าตลาดฯ  ดีกว่ากองทุน  ดีกว่านักลงทุนคนอื่น ๆ  ต้องมีเป็นอย่างน้อย  มิฉะนั้น โอกาสในการสร้างกำไรที่มากเกินกว่า 30 เปอร์เซ็น ต่อเดือน ก็อาจเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น  หากนักลงทุนท่านใดไม่มีปัจจัยอย่างที่ว่ามานี้  ก็คงเป็นไปตามคนส่วนใหญ่ กล่าวคือ  ส่วนรวมขาดทุน  นักลงทุนก็ต้องขาดทุนด้วยเช่นกัน  แต่จะมากกว่าหรือน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับปริมาณและราคาต้นทุนที่แตกต่างกันนั่นเอง  จึงหวังว่า นักลงทุนควรนำเอาองค์ประกอบเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อสร้างความมั่งคั่งในการลงทุน

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลยุทธซุนวูกับหุ้น

พิชัยสงครามซุนวูกับการเล่นหุ้น ดูเหมือนจะนำไปใช้ได้ในการเล่นทั้งเก็งกำไรและถือลงทุน เพราะถ้าเราเข้าใจกลยุทธ วิธีคิด และคำนวณการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้   ก็เปรียบเทียบเหมือนการทำศึก ออกรบ   หากวางแผนการรบดี โอกาสได้ชัยชนะมีมากกว่า 80 เปอร์เซ็น   ตัวอย่างของกลยุทธซุนวู  ได้แก่

จุดแรก สอนว่า เราต้องรักษาสถานะที่จะไม่แพ้ไว้ก่อน
จุดสอง  หาจังหวะโอกาสที่จะทำให้ข้าศึกแพ้  และไม่พลาดที่จะใช้จังหวะโอกาสนั้น
หมายความว่า  เวลาเราเล่นหุ้น ต้องเลือกหุ้นที่มีโอกาสจะขึ้นมากที่สุด  ก็หมายถึงโอกาสที่เราจะแพ้ แล้วขาดทุนมีน้อยนิด  ก็คือ คงสถานะว่าจะไม่แพ้ไว้ก่อน   ส่วนความหมายที่สอง ก็คือ เราเห็นแล้วว่า หุ้นตัวไหนซื้อแล้วได้กำไรชัวร์ชัวร์  ก็ต้องลุยซื้อเพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสนั้นนั่นเอง

สังเกตุได้ไหมว่า  ฝ่ายใดจะชนะ ฝ่ายใดจะแพ้
ฝ่ายชนะ  จะรู้ว่า จะรบชนะก่อน จึงออกรบ
ฝ่ายแพ้   ออกรบก่อน แล้วจึงหวังชนะ
หมายความว่า ถ้าเรามองไม่เห็นแววว่าหุ้นที่เราจะซื้อ มีโอกาสขึ้น แต่ซื้อเพราะอยากซื้อไปก่อน หรือชอบใจจึงซื้อ เช่นนี้ ก็อาจจะแพ้ ตั้งแต่เริ่มเล่นเลย เพราะยังหวังว่าจะขึ้นโดยที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ อะไรเลย  กลับกัน เราเห็นแววว่าตัวนี้ ท่าทางจะได้ตัง ณ ราคานี้ จึงซื้อ นั่นแหล่ะ จึงเรียกว่า รู้ว่าน่าจะได้ตัง  จึงซื้อเพื่อเอาตัง

รูปแบบการรบ  ผู้สันทัดการรบ  จักทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ก่อน เพื่อรอโอกาสข้าศึกจะถูกพิชิต  มิอาจพิชิตเป็นฝ่ายตน  ถูกพิชิตเป็นฝ่ายข้าศึก   หากทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ แต่ไม่อาจทำให้ข้าศึกจะต้องถูกพิชิต ดังนี้ ชัยชนะอาจล่วงรู้  แต่ไม่อาจกำหนดได้   ฟังแล้ว งง มั๊ยเนี่ย แต่นี่แหล่ะเป็นเคล็ดลับชั้นดีทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมีกลศึก อีก เช่น  ผู้ที่เราไม่อาจเอาชนะ  พึงตั้งรับ    ผู้ที่เราอาจเอาชนะ  พึงเข้าตี   ตั้งรับเพราะกำลังไม่พอ  เข้าตีเพราะกำลังเหลือเฟือ   คำกล่าวเหล่านี้ น่าจะชัดเจนในตัวมันเอง

หลักการทำศึก  มีดังนี้  หนึ่งคือวินิจฉัย  สองคือคำนวณ  สามคือปริมาณ  สี่คือเปรียบเทียบ  ห้าคือชัยชนะ    หลักการนี้อาจดูสลับซับซ้อนและยุ่งเหยิงไปหน่อย  เอาเป็นว่า ฟังไว้เป็นแนวคิดไว้ก่อน ค่อยอธิบายในคราวต่อไป เพราะดูเหมือนจะลึกซึ้งไปหน่อย  เป็นที่เข้าใจได้ยาก  แต่ถ้ารู้หลักแล้ว  โอกาสชนะในเกมหุ้น แล้วได้กำไรอย่างงามก็ไม่ไปไหน

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การเล่นหุ้นขาลงด้วย Derivative Warrant (Put Option)

นักลงทุนอาจสงสัยว่า หุ้นลง สามารถทำกำไรได้ด้วยหรือ  คำตอบคือ ถูกต้อง เราสามารถหากำไรจากช่วงหุ้นขาลงได้  ยิ่งลงมาก ยิ่งได้กำไรมาก  ฟังแล้ว งง งง  เป็นไปได้อย่างไร ?  อุปมาดั่ง เราขายได้ราคาสูงก่อนที่จะซื้อคืนในราคาต่ำกว่าที่ขาย  ที่สำคัญต้องเน้นขายก่อน แล้วจึงซื้อคืน  ซึ่งขัดกับหลักการซื้อขายหุ้นโดยทั่วไป  ที่นักลงทุนมักจะซื้อก่อน แล้วจึงหาโอกาสขาย   วิธีเล่นกลับกันเช่นนี้ 
นักลงทุนไทยอาจไม่คุ้นเคย ไม่ชำนาญ และสับสนได้ และยังมองไม่ออกว่า จะได้กำไรอย่างไร  คำตอบคือ  เหมือนยืมตังมาก่อน
เวลาคืนจ่ายคืนน้อยกว่าที่ยืม  เท่านี้ก็เหมือนได้กำไรแล้วนั่นเอง

หุ้นที่เป็น Derivative Warrant ประเภท Put Option  เท่าที่ปรากฎอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีอยู่ด้วยกัน 7  ตัว ได้แก่

ชื่อหุ้น
ราคาแปลง
อัตราส่วน
วันหมดอายุ
โอกาส
CPF18PA
22
5 : 1
29 มีค 54
ราคามีค่า น่าสนใจ
IVL01PB
70
10 : 1
29 เมย 54
ราคามีค่า น่าสนใจ
KTB01PA
13
1 : 1
28 กพ 54
ราคาเป็นศูนย์
PTT06PA
300
50 : 1
15 มิย 54
ราคาเป็นศูนย์
PTT18PA
288
50 : 1
28 มีค 54
ราคาเป็นศูนย์
PTTE01PA
200
40 : 1
31 พค 54
ราคามีค่า น่าสนใจ
TOP18PA
62
15 : 1
25 มีค 54
ราคาเป็นศูนย์


จะเห็นได้ว่า  มีอยู่ 3 ตัว ที่มีมูลค่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน  ซึ่งถ้าหาก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ยังคงลดต่ำลงอยู่  หุ้นประเภทนี้ นับว่าสามารถป้องกันผลขาดทุนจากหุ้นสามัญได้  ทั้งนี้ นักลงทุน ควรเลือกและคำนวณจากราคา และอัตราส่วนด้วยว่า  หุ้นตัวไหนน่าซื้อไว้ป้องกันผลขาดทุนจากบัญชีการลงทุน  เพราะเราอาจได้เงินกำไรบางส่วนเมื่อตลาดรวมปรับตัวลดลง   ลองไปพิจารณาดูว่า  ตัวไหนที่เราสนใจและเหมาะกับแนวทางของเรา

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

หุ้นตก หุ้นลง ทำไงดี ?

นักลงทุนเคยกังวลว่า เมื่อหุ้นตกมาก หรือเป็นขาลง ควรจะดำเนินการอย่างไรกับหุ้น หรือจะเล่นวิธีไหนดี  ผู้เขียนมีคำตอบซึ่งเป็นทางเลือกให้ใช้อยู่หลายวิธีดังนี้

1.     ถือเงินสดไว้ในมือ หากนักลงทุนไม่รู้ว่าจะเล่นหุ้นตัวไหนดี  คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ไม่ต้องเล่น อยู่เฉยเฉย  รอให้คลื่นลมสงบก่อน แล้วจึงค่อยลงมือเล่น  ถือคติ  ไม่เล่น  ไม่เสียเงิน  นี้เป็นวิธีคิดแบบง่ายง่ายและเอาตัวรอดได้ดีในทุกยุคทุกสมัย
2.     ขายหุ้นบางส่วนซึ่งมีโอกาสลงตามตลาด แล้วถือเงินสดไว้  ถ้าหากนักลงทุนเห็นแล้วว่า หุ้นที่อยู่ในบัญชีมีแนวโน้มลงอย่างชัดเจนมากกว่า 80 เปอร์เซ็น  คำแนะนำคือ ขายแล้ว รอซื้อคืนกลับมาที่ราคาต่ำกว่าที่ขาย เราเรียกว่า  short against port  จุดซื้อคืนคือ พอใจซื้อคืนราคาไหน ก็ซื้อได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ลงถึงเท่านั้นเท่านี้ เพราะหุ้นตัวที่เราขาย อาจเด้งขึ้นมาอย่างแรงก็ได้
3.     เล่นหุ้นเก็งกำไรบางตัวที่มีโอกาสเติบโตในภาวะที่หุ้นกระดานหลักปรับตัวลง  สังเกตุง่ายง่ายคือ หุ้นในกระดาน 90 เปอร์เซ็นอ่อนตัวลง  แต่มีบางตัวปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าช้า หรืออย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่สนใจตลาดฯ โดยรวมแม้แต่น้อย  นั่นแหล่ะ คือ หุ้นที่ควรซื้อเก็งกำไรหรือลงทุน
4.     เล่นหุ้นประเภท Derivative Warrant ลักษณะ Put Option คือ  XXX-PX  ทุกตัว ที่ใช้สิทธิในการขาย เช่น  KTB01PA  หากหุ้น KTB  ราคาลดลง  หุ้น 01PA จะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุน ต้องดูราคาแปลงสิทธิและวันหมดอายุด้วย เพื่อจะได้กำหนดราคาเล่นได้อย่างถูกต้อง
5.     เล่น TFEX   คือ เล่น short Futures ใน SET50 INDEX แทนการซื้อหุ้น หรือ short  Future ของหุ้น   วิธีนี้ เหมาะสำหรับ ผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูง และเล่น Futures เป็น เท่านั้น เรียกได้ว่า อยู่ในขั้น advance หรือ complicated  นักลงทุนธรรมดาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะจะเสียเงินสถานเดียว   นอกจากนี้ TFEX  ยังเหมาะกับนักลงทุนที่มีการลงทุนในบัญชีหุ้นเป็นมูลค่ามากมาก เช่น ลงทุนเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป  เช่นนี้ ควรใช้เครื่องมือ TFEX ให้เป็นประโยชน์  ด้วยการ short futures  ลดความเสี่ยงของหุ้นสามัญ  (รายละเอียด สอบถามโบรกเกอร์ของท่านได้)

วิธีการดังกล่าวข้างต้น  คงจะเพียงพอต่อการช่วยคลายความกังวลเมื่อประสบกับภาวะหุ้นตก หรือขาลงได้ ไม่มากก็น้อย และหวังว่านักลงทุนคงจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน และจะได้ไม่กลัวหุ้นลงอีกต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ดัชนีเดินหน้าหนึ่งพันห้าร้อยจุด

จากการพิจารณาภาพรวมหลาย ๆ ด้าน ผู้เขียนเห็นว่า SET INDEX  มีโอกาสเดินหน้าไปถึง  1,500 2,000 จุด  เนื่องจากปัจจัยหลายด้านดังนี้

1.ด้านเศรษฐกิจ ( Economics Factor)
แม้นว่า เศรษฐกิจต่างประเทศ อย่างยักษ์ใหญ่อเมริกา  หรือยุโรป จะประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำ ด้านการเงิน หรือฟองสบู่ อะไรก็ตาม  แต่ประเทศไทยไม่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจเลย  ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ ตลาดไทยน่าสนใจเป็นอย่างมากต่อนักลงทุนโลก  เราคงไม่เห็นบ่อยนักว่า ต่างประเทศแย่ แล้วประเทศเรายังดีอยู่ แต่มันก็เป็นไปแล้ว   ยิ่งภาคการผลิต ภาคการเกษตร ไทยยังเติบโตก้าวหน้าอยู่ เช่นนี้ ยิ่งทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ดูดีมีอนาคตไปเลยทีเดียว

2.ด้านการเมือง (Political Factor)
ดูไปแล้ว รัฐบาลคงอยู่ครบวาระซึ่งนั่นก็หมายความว่า ปีนี้ปัจจัยด้านการเมืองนิ่ง  ไม่มีผลกระทบใดใดต่อตลาดหุ้นไทย  หรือต่อให้มีความเคลื่อนไหวทางการเมือง  นักลงทุนก็มีภูมิคุ้มกันด้านการเมืองเรียบร้อยแล้ว  จึงไม่ส่งผลต่อตลาดโดยรวมสักเท่าใดนัก  บรรยากาศดีดีแบบนี้  ตลาดหุ้นก็คงไม่สนใจประเด็นนี้อีกต่อไป

3.ด้านตัวหุ้น (Products Factor)
ราคาหุ้นส่วนใหญ่ ร้อยละ 80  มีแนวโน้ม เติบโตสูงขึ้น ราคาหุ้นทำ new high หลาย ๆ ตัว  รวมถึง กลุ่มอุตสาหกรรมหลาย ๆ กลุ่ม ก็ปรับตัวสูงขึ้น สร้างสถิติใหม่อย่างที่ไม่เคยมี   และยังมีแนวโน้มว่า จะยังคงสร้างสถิติใหม่ได้อีก จนกว่าจะเกิดอาการอิ่มตัว  ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกพักใหญ่เลย  แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ตลาดพุ่งขึ้นไปอีกหลายร้อยจุด

4.ด้านตลาดหลักทรัพย์ (Market Factor)
ยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกมาก ที่รอจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นไทย  แสดงให้เห็นว่า อัตราการเติบโตของตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มสูง  ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง  เพราะบริษัทที่เข้ามาใหม่ ก็จะส่งผลทำให้ ดันดัชนีขึ้นไปเรื่อย ๆ   ตัวที่ไม่ไปก็หยุดอยู่  แต่ตัวใหม่ก็สร้างสถิติใหม่จนกว่าจะหมด  ซึ่งมันก็ยังไม่หมดเพราะรอเข้ามาจดทะเบียนกันอีกมาก  ทุนก็จะท่วม ล้นตลาด ทีเดียว

5.ด้านปัจจัยจิตวิทยาการลงทุน (Psychology Factor)
นักลงทุนเห็นดัชนี เดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ  ก็คาดหวังว่า การลงทุนคงจะดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร  ยิ่งมีการขายเกิดขึ้นมากเท่าไหร่  โดยดัชนีก็ยังไม่ต่ำกว่า  1,000 จุด  ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ฐานตลาดทุนเข้มแข็ง และแข็งแกร่งอย่างมาก  เมื่อหมดแรงการขาย  ก็เหลือเพียงการขึ้นเท่านั้น  หากมีการขยับปรับฐานขึ้นไปอีก  นักลงทุนจะกล้าเพียงพอในการลงทุนเพื่อแสวงหากำไรใหม่ ๆ  แทนการเก็บเงินฝากธนาคาร

จะเห็นได้ว่า  ปัจจัยต่าง ๆ  เหล่านี้ ส่งเสริม สนับสนุนให้ตลาดโต และเติบใหญ่ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก  การเติบโตก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ดังนั้น โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะเป็นตลาดกระทิงขนาดใหญ่  ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว