วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คุณยาย 1 ดอลลาร์ (Grandma 1 USD)

ผู้อ่านเคยได้ยิน นิทานคุณยาย 1 ดอลลาร์ไหม ? น่าจะไม่  คือเรื่องมีอยู่ว่า  คุณยายแก่ ๆ คนหนึ่ง อายุอานามก็กว่า 80 ปีเห็นจะได้ มีทรัพย์สินเป็นจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์   อืม คุณยาย แกทำมาหากินอะไร ถึงได้มีมรดกเหลือเฟือขนาดนี้

คุณยายเล่าว่า เริ่มต้น แกมีเงินลงทุนอยู่ 1 ดอลลาร์  มีความตั้งใจในการลงทุน จึงค่อย ๆ ลงทุนดังนี้

คุณยาย นำเงินไปฝากเพื่อนลงทุนใน ตลาดหุ้นสหรัฐ dow jones ตอน 400 – 500 จุด
เลือกลงทุน ได้กำไรครั้งละ 20 เปอร์เซ็น เท่านั้น ลักษณะการลงทุนเป็นดังนี้
1.ทำกำไร 20 เปอร์เซ็น  ได้รับเงินปันผล  10 เปอร์เซ็น
เดือนแรก  เงิน 1  ดอกเบี้ย  0.2
เดือน 2     เงิน 1.2  ดอกเบี้ย  0.24
เดือน 3     เงิน  1.44  ดอกเบี้ย  0.29
เดือน 4     เงิน  1.73  ดอกเบี้ย  0.35  
เดือน 5     เงิน  2.07   ดอกเบี้ย  0.41
เดือน 6      เงิน  2.49   ดอกเบี้ย 0.5
เดือน 7     เงิน  2.99  ดอกเบี้ย  0.6 
เดือน 8      เงิน  3.58  ดอกเบี้ย  0.72
เดือน 9     เงิน  4.3   ดอกเบี้ย  0.86
เดือน  10   เงิน  5.16   ดอกเบี้ย  1.03
เดือน  11    เงิน  6.19   ดอกเบี้ย  1.24
เดือน  12   เงิน  7.43  ดอกเบี้ย  1.49  ปันผล  0.74
เดือน  13  เงิน  8.92   ดอกเบี้ย  1.78  

ดังนั้น ด้วยวิธีการเช่นนี้  คุณยายจึงมีเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการกำไรจากการลงทุนในหุ้น และเงินปันผล ซึ่งคุณยาย นำเงินไปลงทุนต่อเนื่องทุกครั้ง และนำเงินปันผลไปลงทุนอีกทอดนึง และคุณยายไม่เคยนำเงินลงทุนมาใช้จ่ายเลย  คุณยาย ทำตัวแบบนี้เรื่อยมา จนเวลาผ่านไป 40 ปี    ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ  dow jones พุ่งขึ้นเป็น  10,000 จุด  แล้วมาคำนวณเงินที่เป็นหุ้นในบัญชี ปรากฎว่า มีถึง  5,000 ล้านดอลลาร์ เอง

สรุปได้ว่า แนวทางสร้างเงินของคุณยาย  คือ ลงทุนมาตลอด ไม่เคยหยุดการลงทุนเลย และไม่เคยถอนเงินลงทุนด้วย (คุณยาย ทำงาน มีเงินเดือนประจำ ใช้จ่ายแต่เงินเดือน) เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ธุรกิจเติบโต มีเงินปันผล มีหุ้นปันผล มีการแตกพาร์ แจกวอร์แรนท์   คุณยายก็นำเงินและสิทธิประโยชน์มาลงทุนต่ออีกอย่างมั่นคง ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น มีการทบทวนการลงทุนครบทุก  2-3 ปี เพื่อเปลี่ยนธุรกิจใหม่ เพื่อความมั่งคั่ง (wealth) ทำเช่นนี้ ไปเรื่อย ๆ อดทนและรอคอย แม้นว่า จะมีเหตุการณ์ไม่ดี ยุบสภา แผ่นดินไหว น้ำมันแพง สงคราม โรคระบาด เศรษฐกิจถดถอย  ก็ไม่เคยถอนการลงทุนเลย(นิ่ง ๆ เข้าไว้)  และยังใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส เช่น น้ำมันแพง ก็เลือกลงทุนในหุ้นน้ำมัน เป็นต้น 

น่าอิจฉา คุณยายจังเลย ทำใจได้งัยเนี่ย แต่ก็เป็นไปได้นะ  นักลงทุน อย่าลืมนำเคล็ดลับไปปฏิบัติด้วย

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หุ้น SLC ที่เพิ่มทุน

นักลงทุนควรจับตามองหุ้น SLC  (Solution Corner 1998) คือ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์(1998) จำกัด (มหาชน)  ทำธุรกิจเกี่ยวกับวางระบบซอฟท์แวร์ให้กับบริษัทต่าง ๆ  อาทิ เช่น  การไฟฟ้า  การประปา  หน่วยงานราชการ

งบไตรมาส 2 ปี 53  บริษัทฯ  มีสินทรัพย์รวม 106 ล้านบาท  หนี้สินรวม  90 ล้านบาท  ส่วนของผู้ถือหุ้น 16 ล้านบาท  ขาดทุนสุทธิ  50 ล้านบาท  ขาดทุนต่อหุ้น 0.10 บาท   มูลค่าหุ้นทางบัญชี  0.03 บาท   ราคาพาร์  0.10 บาท  ทุนจดทะเบียน  424 ล้านบาท  ทุนชำระแล้ว  303 ล้านบาท  (ที่มา  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

หุ้น SLC  ได้มีการขายหุ้นเพิ่มทุนได้ทั้งสิ้นจำนวน  2,424,412,800 หุ้น คือประมาณ สองพันสี่ร้อยล้านหุ้น  คิดเป็นเงินจำนวน ประมาณ 242 ล้านบาท  แสดงว่า บริษัทฯ มีเงินสดในมืออยู่จำนวน สองร้อยกว่าล้าน  หากมีขาดทุนสะสมหรือขาดสภาพคล่องอยู่  ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปทันทีเพราะมีเงินสดเหลือเฟือแล้วในขณะนี้

แต่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2,424 ล้านหุ้นนี้ ราคาต้นทุนคือ 0.10 บาท ซึ่งราคาในกระดานปิดที่ 0.16  ก็มีส่วนต่างอยู่ถึง  0.06 บาท คิดเป็นกำไรส่วนเกินถึง 60 เปอร์เซ็นจากที่จองซื้อเพิ่มทุน  ดังนั้น วันที่ 11 พย 53  ตลาดฯ อนุญาตให้ซื้อขายได้ อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นปริมาณมากได้  จนกว่าผู้เพิ่มทุนจะหยุดขายหรือคาดว่าหุ้นจะขึ้น จึงเก็บไว้ก่อนยังไม่ขาย  เมื่อนั้น นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นในมือ ถึงจะเข้าไปซื้อได้ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ เพราะว่าบริษัทฯ มีเงินสดในมือมาก  การทำธุรกรรมอื่นใด เป็นไปได้ง่าย การลงทุนเพื่อแสวงหากำไรเข้าบริษัทฯ ก็ทำได้ง่าย โครงการ โปรเจ็คใด ๆ ที่น่าจะลงทุนหรือทำกำไรให้ได้  บริษัทฯ มีศักยภาพพอที่จะลงทุนได้  ทั้งนี้ ต้องพิจารณาเรื่องภาระหนี้สินของบริษัทฯ ด้วย  ถ้าเป็นไปตามงบการเงินคือ บริษัทฯ มีภาระหนี้อยู่ 90 ล้านบาท  หากชำระไปเลย ก็เท่ากับบริษัทฯ ปลอดภาระหนี้สินทันที ถือเป็นเรื่องดีของกิจการ

หากนักลงทุนสนใจเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ ก็ต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้ และหาคำตอบให้เจอว่า บริษัทฯ น่าจะนำเงินไปลงทุนทำกำไรให้ได้อย่างไร เพราะเงินสดเต็มมือ เป็นสิ่งที่หลาย ๆ กิจการ ควรจะมีและพึงต้องมีด้วย  เมื่อนำเงินเพิ่มทุนไปรวมในงบการเงิน ส่วนของผู้ถือหุ้นจะมีเป็น 258 ล้านบาททีเดียว  งบการเงินในไตรมาสต่อไป จะดูดีมาก ทั้ง ๆ ที่บริษัทฯ ยังไม่ได้ดำเนินกิจการใด ๆ เลย

ดังนั้น  นักลงทุนที่สนใจหุ้นตัวนี้ ก็ลองคิดพิจารณาสิ่งนี้ด้วยว่า จะเกิดผลดี ผลเสีย อย่างไรกับบริษัทฯ นี้  แต่อย่าลืมว่า ต้องเผชิญกับแรงเทขายจากต้นทุน 0.10 บาท ด้วยขนาดมหึมาด้วย  หยุดขายเมื่อไหร่ ก็น่าสนใจทีเดียว หรือถ้ามีแรงซื้อขึ้นมา ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นด้วย

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีเล่นหุ้นให้ขาดทุน

นักลงทุนที่มีประสิทธิภาพควรจะรู้จักการขาดทุนในการลงทุน เพราะเจ็บแล้วจะได้จำ ไม่ประมาทและหลงระเริงกับผลกำไรที่เกิดขึ้นในขณะที่ยังอยู่ในระหว่างการลงทุน  ตราบใดที่ การลงทุนยังคงดำเนินอยู่ เราก็ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ  การลงทุนบางครั้ง ต้องขาดทุนเพื่อกำไร  ฟังแล้วอาจจะงง งง ก็ได้  หมายความว่า ขาดทุนวันนี้ เพื่อกำไรในวันหน้า  ไม่ใช่ขาดทุนวันนี้ และก็ยังขาดทุนในวันหน้า อันนี้ก็ไม่ถูกต้อง

การขาดทุนทำให้เราคอยเตือนตนเองเสมอว่า อย่าได้ประมาท และหลีกเลี่ยงกระบวนการความเสี่ยงเดิม ๆ ที่ส่งผลให้ขาดทุน หรือถ้าเราเล่นในแนวเดิมแล้วมาขาดทุนเหมือนเดิม เช่นนี้ ชีวิตอาจติดลูป อยู่ในวังน้ำวนได้  เราจึงต้องรีบออกจากวังวนโดยด่วนก่อนที่จะขาดทุนหนักไปมากกว่านี้

วิธีการที่นักลงทุนหรือนักเก็งกำไร มักจะขาดทุน ได้แก่
1.ซื้อเช้า ขายบ่าย  ซื้อเมื่อตลาดฯ เปิด ได้ราคาสูง แล้วขายเมื่อตอนปิดตลาดฯ ซึ่งราคาปรับตัวลดลงไป  กลายเป็นเล่น net settlement  ซึ่งทำให้ตนเองเสียเปรียบในราคาขายเมื่อปิดตลาดฯ
2.ซื้อเมื่อข่าวของหุ้นตัวนั้น ๆ ประกาศออกมา โดยที่หุ้นตัวนั้นขึ้นมารอรับข่าวสารดังกล่าวแล้ว (ถ้ายังไม่ขึ้นรับข่าว ก็อาจส่งผลให้ได้กำไร) โอกาสที่นักลงทุนหรือเก็งกำไร จะบาดเจ็บมีสูงมาก
3.ชอบซื้อหุ้นถูก ๆ หรือตกอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน กล่าวคือ เล่นหุ้นที่ใคร ๆ ก็ไม่เอาแล้ว ดันเข้าไปแบกรับไว้ โอกาสที่จะเสียหายหรือเสียเปรียบมีสูง และยิ่งซื้อเฉลี่ยราคาเพิ่มอีก ยิ่งตกซ้ำ ทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิมอีก จนสุดท้าย ต้องขายทิ้งในราคาต่ำมาก ๆ  และขาดทุนหนักในที่สุด
4.ซื้อหุ้นโดยไม่มีเงินสดถือครองหุ้น กล่าวคือ เมื่อเข้ามาแล้ว ต้องออกภายในวันเดียว เล่นแบบนี้ อาจจะได้ตังวันนึง  เสียตังวันนึง  แต่เมื่อรวมทุก ๆ วันเข้าด้วยกันแล้ว สรุปรวมคือเสียร้อยเปอร์เซ็น แต่นักเก็งกำไรก็ชอบ เพราะกลัวติดหุ้น ไม่นิยมนำเงินเข้าระบบ แต่มีปัญญาจ่ายเงินค่าส่วนต่างราคาเมื่อสิ้นวันทำการ  ถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ  ก็สวัสดี  มีเงินทุนเหลืออยู่เท่าไหร่ ก็ต้องหมดแน่นอน
5.หุ้นที่มีผลดำเนินงานขาดทุนมาตลอด และก้ำกึ่งว่าจะโดนเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ หรือถูกห้ามซื้อขายโดยตลาดหลักทรัพย์  ถ้าไม่จำเป็น อย่าได้เข้าไปยุ่งเป็นอันขาด ถ้าเล่นควรให้จบภายในช่วงเวลาเดียว ไม่ควรยืดเยื้อหรือถือครองข้ามวัน เพราะอาจโดนห้ามซื้อขายเมื่อไหร่ก็ได้
6.หุ้น warrant หรือ derivative warrant  ถ้าผู้เล่นไม่ชำนาญ อาจส่งผลให้เงินทุนหมดทั้งจำนวนได้เลย  จริงอยู่อาจได้กำไรภายในวันเดียวมากกว่า 30 เปอร์เซ็น  ในทำนองเดียวกัน อาจขาดทุนวันเดียว 30 เปอร์เซ็นเช่นกัน ถ้าไม่ระวัง  ยิ่งเล่น net settlement ในหุ้นประเภทนี้ ยิ่งเสียเปรียบคนที่ถือครองหุ้นได้ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ

นักลงทุนท่านใด อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใด พึงระลึกไว้เลยว่า โอกาสที่จะเสียหายจากการลงทุนได้มาถึงท่านแล้ว  โปรดหลีกเลี่ยงวิธีดังกล่าวข้างต้นให้เร็วที่สุด

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลยุทธการทำกำไรอย่างยั่งยืน

เมื่อนักลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ ซื้อหุ้น แล้วขาย และมีกำไรเกิดขึ้น  ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือว่า มีโอกาสไหมที่การลงทุนในคราวต่อไป อาจเกิดผลขาดทุน ซึ่งอาจมีมากกว่าที่ได้กำไรไปแล้ว  กลับกลายเป็นว่า การลงทุนกลายเป็นขาดทุนในที่สุด

การป้องกันไม่ให้กำไรกลายเป็นขาดทุน มีแง่คิดง่าย ๆ  ดังนี้

1.เมื่อซื้อหุ้นตัวไหน แล้วมันราคาสูงขึ้น ทำให้มีกำไรส่วนต่างราคา แต่ยังไม่ได้ขาย  กำไรที่แท้จริง จะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่านักลงทุนจะขายหุ้นตัวนั้น แล้วหักกลบลบต้นทุน จึงจะนำมาบันทึกหรือรับรู้กำไรที่เกิดขึ้นจริง ๆ   หลักการง่าย ๆ มีอยู่ว่า  อย่าปล่อยให้กำไร ลดลงมาจนกระทั่งเป็นขาดทุน เช่น ซื้อหุ้น PTT  ที่ราคา  330 บาท  หากราคาสูงขึ้นเป็น 335 บาท ยังไม่ขาย  สูงขึ้นเป็น 340 บาท ก็ยังไม่ขาย เช่นนี้ ไม่เป็นไร  แต่เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้น PTT  ปรับตัวลดลงจนมาถึงราคา  330 บาท ซึ่งถ้าขายจะขาดทุนค่าธรรมเนียม  ดังนั้น วิธีแก้ไขง่าย ๆ คือ เมื่อราคาหล่นลงมาเหลือ  333 บาท เป็นราคาเสนอซื้อเมื่อไหร่ ให้ทำการขายที่ 333 บาททันทีโดยไม่มีเงื่อนไข  เหตุผลคือ เราไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะหล่นต่อ หรือขึ้นไปอีก เพื่อรักษาผลกำไรและป้องกันการขาดทุน จึงต้องขายหุ้นไปตามที่เรากำหนดไว้เมื่อหุ้นลง  ตรงกันข้าม ถ้าหุ้น PTT  ยังขึ้นไปอีกสูงกว่า 240 บาท เช่นนี้ นักลงทุนยังรอถือหุ้นไว้ได้ เพราะกำไรไม่สามารถทำให้นักลงทุนเสียเงิน  แต่ขาดทุนทำให้เงินทุนเสียหายได้

2.เมื่อนักลงทุนมีกำไรจากการลงทุน คิดเป็น  100%  จากเงินลงทุน  วิธีง่าย ๆ คือ แนะนำให้นำเงินทุนที่ลงทุนครั้งแรก คืนออกมาจากการลงทุน  ให้คงเหลือไว้เฉพาะกำไรส่วนเกิน หรือถอนเงินลงทุนพร้อมกำไรบางส่วนออกมาก็ได้  เหตุผลคือ เราไม่รู้หรอกว่า การลงทุนครั้งต่อ ๆ ไป เราจะสามารถทำกำไรได้อีก 100%  เช่นครั้งแรก  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียเงินทุนไปในที่สุด  จึงควรเตรียมการป้องกันเงินทุนครั้งแรกไว้ ด้วยการนำเงินออกจากระบบการลงทุน  ถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เราจะไม่สูญเสียเงินทุนเลยแม้แต่บาทเดียว เพราะเงินทุนเรานำกลับไปแล้วนั่นเอง

3.สร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ  หากเงินทุนของเราสร้างกำไรทั้งส่วนต่างราคา หรือได้รับเงินปันผลที่คุ้มค่า  เราก็นำเงินส่วนเกินเหล่านั้น ไปลงทุนซ้ำเพื่อให้เกิดกระบวนการเงินสร้างเงินอย่างไม่ขาดเสีย โดยที่เราไม่ต้องนำเงินมาลงทุนเพิ่มอีก แม้ว่า การลงทุนจะมีผลขาดทุนบ้าง กำไรบ้าง สลับกันไป  เราก็ไม่มีผลกระทบต่อเงินทุนเพราะมันคือกำไรล้วน ๆ ที่มาลงทุน  อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือ เราไม่เหลือเงินทุนในส่วนที่เป็นกำไรเลย นั่นก็แปลว่า เราทำงานเหนื่อยฟรี  แต่ไม่เสียเงินลงทุน ซึ่งก็น่าจะพอรับได้ในแง่ของการลงทุนบนพื้นฐานความเสี่ยงตามกลไกตลาดเสรี

หลักคิดลักษณะนี้ นักลงทุนลองนำไปใช้ดูได้ หากได้ผลดี ก็ควรทำอย่างต่อเนื่องต่อไป  หากยังเกิดผลเสียหาย ก็ควรจะหาวิธีจำกัดผลเสียเอาไว้ด้วย

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีเก็งกำไรให้ได้กำไรอย่างง่าย

การซื้อขายหุ้นให้ได้กำไรภายในวันเดียว จะต้องใช้เทคนิคในการเข้าซื้อ และหาจังหวะในการขายให้ถูกที่ ถูกเวลา จึงจะได้กำไรและจบเกมภายในวันเดียว ซึ่งอาจพอแนะนำเทคนิคได้ดังนี้

หลักการและแนวคิด
ผู้เล่นต้องหาหุ้นขึ้นเท่านั้น  หุ้นลง ไม่มีใครอยากเก็งกำไร ยกเว้น นักลงทุนธรรมดา ซึ่งก็ไม่ใช่การเก็งกำไร  ดังนั้น  คนเล่นเก็งกำไรต้องไม่เล่นหุ้นแดง ๆ  ให้เล่นเฉพาะหุ้นเขียว ๆ เท่านั้น  นี่เป็นกฎที่สำคัญ  หากคนเก็งกำไร ไม่กล้าพอจะซื้อหุ้นเขียว ๆ หุ้นขึ้น  ก็จบแต่เพียงเท่านี้  ไม่มีคำแนะนำอื่นใดอีกต่อไป

1.มองหาหุ้นที่ติด Top gaining อันดับ 1-10 แรก เพราะว่า แสดงว่ามีคนสนใจเล่นหุ้นตัวนั้น ๆ กันอยู่ และมีโอกาสขายได้ราคาสูงขึ้นไป   คัดเอาปริมาณซื้อขายเกิน 1 ล้านหุ้นขึ้นไปยิ่งดี เพราะมีผู้เล่นหลากหลาย และกระจัดกระจายกันไปอย่างทั่วถึง
เหตุผลและหลักการคิด 
หุ้นขึ้น ไม่มีคนขาดทุน  ใครซื้อที่ 10 เปอร์เซ็น ก็อาจขายที่ 15 เปอร์เซ็น  คนที่ซื้อ 15 เปอร์เซ็น ก็อาจขายได้ 20 เปอร์เซ็น ขายได้ราคาดีตามลำดับกันไป จนกว่าจะถึงราคาสูงสุดของวัน

2.หุ้นที่มีราคาสูงเกิน 10% จากราคาปิดเมื่อวันก่อน  แสดงให้เห็นถึงการเล่นอย่างต่อเนื่อง และมีนัยสำคัญในการดึงราคาขึ้นไปอีก
เหตุผลและหลักการคิด
ผู้เล่นให้ความสนใจ พร้อมจะซื้อหุ้นตัวที่ขึ้น เพราะมองว่ามีโอกาสขึ้นต่อได้อีก จนกว่าจะเลิกเล่นหุ้นตัวนั้น

3.หุ้นที่ปิดราคาสูงสุดของวัน หรือปิด ceiling สนิท  มีโอกาสขึ้นต่อในวันถัดไป เพราะมีแรงส่งให้หุ้นวิ่งต่อไปได้  แต่หุ้น ceiling ต้องไม่หลุดออกมา มิฉะนั้น ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ และอาจเป็นอันตรายต่อผู้เล่นได้
เหตุผลและหลักการคิด
หุ้นที่ปิดสูงสุด หรือ ceiling มีโอกาสเปิดสูงหรือเปิดกระโดดในวันถัดไป  ผู้เล่นจึงซื้อราคาสูงหรือราคา ceiling เพื่อนำไปขายในวันถัดไป หรือถือไว้จนแน่ใจว่ามันจะไม่ขึ้นไปกว่านี้ จึงจะขายหุ้นออกมา

4.หุ้นที่เล่นตอนท้ายตลาดฯ ช่วงบ่าย มีโอกาสปิดราคาสูง หรือวิ่งต่อในวันถัดไป  คนเล่นเก็งกำไรสามารถเล่นเพื่อขาย หรือถือไว้ขายในวันถัดไป
เหตุผลและหลักการคิด
หุ้นที่มีผู้เล่นไล่ราคากันอยู่ มีโอกาสปิดสูงในตอนท้าย หรืออาจมีผู้เล่นซื้อเก็บไว้ตอนท้าย เพื่อนำไปขายในวันถัดไป

วิธีดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นเพียงข้อแนะนำ เพื่อให้ผู้อ่านลองไปปฏิบัติดู ว่าใช้งานได้จริงหรือไม่  แล้วจะได้พอเข้าใจว่า ทำไม จึงมีผู้เล่นซื้อหุ้นที่กำลังขึ้นหรือขึ้นจน ceiling เพื่ออะไรกัน  วิธีคิดเช่นนี้ คงจะมีคำตอบให้กับผู้เล่นได้พอสมควร