วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปรัชญาการเล่นหุ้น

มีผู้กล่าวไว้ว่า  การเล่นหุ้น เฉกเช่น การออกรบ  ต้องรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง  น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะการเล่นหุ้น ดีที่สุด ต้องไม่แพ้ หมายความว่า เล่นอย่างไรก็ได้ แต่ในที่สุด ต้องมีกำไร ตอนเลิกเล่นแล้ว

หุ้นเป็นสินค้า เสมือนธุรกิจ ที่เราต้องคอยดูแล เอาใจใส่ เหมือนขายของ คือ ซื้อมา แล้วขายไป  เหมือนความเป็นเจ้าของ หุ้นที่ซื้อ คือ ธุรกิจของเรา  เหมือนสิ่งมีชีวิต  คือ เคลื่อนไหวตลอดเวลา  มีขึ้น มีลง ไม่เคยอยู่นิ่ง ๆ  (หุ้นที่นิ่ง คือ หุ้นที่ไม่น่าสนใจเลย เพราะไม่รู้ จะลงทุน หรือเก็งกำไร ไปทำไม ในเมื่อไม่มีอาการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำให้เรารู้สึกว่า มันจะไปยังไง)

นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ เคยกล่าวไว้ว่า  การเล่นหุ้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ต้องอาศัย องค์ความรู้เพียง 2 สิ่งเท่านั้นคือ
1.วิชาปรัชญา (Philosophy)
2.วิชาประวัติศาสตร์ (History)
ฟังดูแล้ว มันเหลือเชื่อนะ  อะไรกัน แล้วงบการเงิน  การดูค่าเฉลี่ย การดูปัจจัยพื้นฐาน อะไรต่อมิอะไรอีกล่ะ  หายไปไหน หรือไม่สำคัญ หรือไม่จำเป็น  ผลประกอบการของบริษัทล่ะ  จะไม่พิจารณาเลยหรือ  คำตอบคือ ดูเหมือนกัน แต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะทำให้เล่นหุ้นแล้วได้กำไร

อ้าว  แล้ว 2 สิ่งนี้ ทำให้เล่นแล้วได้ตังอย่างไรล่ะ  ไม่เข้าใจ เลย 

วิชาปรัชญา ก็หมายถึง คนเล่นหุ้น ต้องเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของผู้เล่น คนอื่น ๆ ด้วย เพราะเขาเหล่านั้น มีส่วนสำคัญทำให้หุ้นขยับขึ้นหรือขยับลง เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงหรือค่อย ๆ เขยื้อนไปในทิศทางหนึ่งทางใด  ผู้เล่น ก็ได้แก่  เจ้าของ(บางคน)  นักลงทุน นักเก็งกำไร สถาบันลงทุน นักลงทุนต่างประเทศ คนช่วยทำราคา (market maker)  คนต่าง ๆ  เหล่านี้ เราต้องรู้จักเค้าให้หมด  เพราะว่าคนเหล่านี้แหล่ะ ที่เป็นปัจจัยในการทำให้หุ้นขึ้นลง ตามสิ่งที่พวกนี้คิด  คนกลุ่มนี้ ต้องคิดก่อน ถึงลงมือทำ  การกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนา ถ้าเรามองเจตนาคนเล่นออก  โอกาสชนะแล้วได้ตังมีสูงมาก

หุ้นยิ่งขึ้น ทำไมคนยิ่งอยากเล่น  คำตอบคือ หุ้นขึ้น เปรียบเสมือนเรานำกำลังพลออกรบไปตีเมืองอื่นเพื่อยึดมาเป็นของเรา  หุ้นยิ่งขึ้น แสดงว่าเราได้ขยายอาณาจักรออกไปเรื่อย ๆ  ได้เก็บเสบียง ทรัพย์สิน และข้าทาสบริวารทั้งหลาย มาเป็นของตัว  ราคาแนวต้าน ก็เปรียบเสมือนข้าศึกได้วางกำลังอย่างหนาแน่นบริเวณนั้น  จึงมีแรงปะทะมาก  เราก็ต้องใช้กำลังที่เหนือกว่า จึงจะเอาชัยได้  ตรงกันข้าม หากตีไม่แตก ก็จะโดนข้าศึกตีย้อนกลับมา ถอยร่นกลับที่ตั้ง ที่เราเรียกว่า แนวรับ เราก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที เหมือนหุ้นราคาหล่นอย่างรวดเร็ว เพราะแรงปะทะสู้ไม่ได้ หรือถอยมาตั้งหลักนั่นเอง

ถ้าหุ้นลงล่ะ ทำไม คนเก็งกำไรถึงไม่เล่น คำตอบก็คล้าย ๆ กันคือ เราโดนข้าศึกโจมตี ต้องถอยร่นกลับเข้าพื้นที่ของตน จนไม่มีที่ให้ถอย คือ ตกฟลอร์  ฟลอร์อีก  จนราคาเหลือ ไม่กี่สตางค์  แล้วทีนี้จะเหลืออะไรให้เล่น  หลังกระแทกฝาแล้ว  นั่นแหล่ะเสียเปรียบสุดสุด  จนกว่าจะไม่มีทางให้ถอย เราอยู่แนวรับสุดใจ  ก็เลยกลายเป็นได้เปรียบ เพราะมีแต่เสมอกับชนะ  เช่น ราคาเหลือต่ำสุดเท่าที่ตลาดฯ กำหนด กล่าวคือ ราคาเหลือ 0.01 บาท ไม่มีอะไรให้สูญเสีย มีแต่เสมอตัวกับกำไร เงื่อนไขมีอย่างเดียวคือ อย่าให้อาณาจักรล่มสลาย ก็แปลว่า หุ้นที่เราซื้อต้องไม่เจ๊ง ปิดกิจการ นั่นเอง  ถ้าเป็นเช่นนี้  โอกาสที่เราจะฟื้นตัว แล้วกลับมาล่าอาณานิคม ก็รออยู่เบื้องหน้า

จะเห็นว่า ปรัชญาการเล่นหุ้น มีส่วนสำคัญในการพิจารณาหุ้นว่า ควรเล่นหรือไม่ การใช้จิตวิทยา เข้ามาช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย ถือว่า มีส่วนสำคัญยิ่ง ถ้าเราเข้าใจคนอื่นได้มากเท่าไหร่ เราก็ได้เปรียบคนอื่นได้มากเท่านั้น

ส่วนวิชาประวัติศาสตร์ ก็คือ ประวัติของหุ้นตัวนั้นนั่นแหล่ะ  มีที่มาอย่างไร  เคยทำมาหากินอะไร ใครเป็นเจ้าของ  เคยเล่นแบบไหน  จัดอยู่ในประเภทเก็งกำไรลักษณะไหน  ราคาเคยสูงสุด ต่ำสุด ที่ไหน  เมื่อไหร่  อะไรเป็นปัจจัยที่ราคาอยู่ ณ ปัจจุบันนี้   ความรู้ด้านประวัติเช่นนี้ มีส่วนช่วยในการตัดสินใจซื้อขายตามจังหวะและโอกาสได้ เพราะถ้าหุ้นตัวนี้ เคยเล่นแบบนี้ มีแนวโน้มสูง ในการเล่นแบบเดิม ซึ่งผู้เล่นหน้าเดิม จะรู้จักจังหวะ โอกาส ในการเข้าทำ เข้าตี และตีจากได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

มีคำพูดว่า ผู้ชนะสิบทิศ คือ เจอหุ้นตัวไหน ก็สามาถเล่นจนเอาชนะได้ทุกตัว ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่า ผู้เล่นต้องเป็นยอดฝีมือ  รู้จักหาจังหวะเข้า ออก ได้เงินตลอด  ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ คงมีเพียง 2-3 คน จาก 100 คน  หากผู้อ่าน ไม่ได้จัดอยู่ในประเภทผู้ชนะสิบทิศ คงต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ทุกครั้งที่ลงมือเล่นด้วย

หวังว่า คงลองนำข้อคิดนี้ไปใช้เพื่อการทำกำไร ควบคู่กันไป  การเล่นหุ้นเหมือนการออกรบ  ต้องรู้จักวางหมาก ล่อหลอก กลศึก สู้ยิบตา หรือถอยเพื่อตั้งรับ มีให้ครบทุกรูปแบบ เพราะหุ้นออกได้หลายหน้า  ไม่ซ้ำวิธีเดิม  ผู้รู้กลยุทธในการเทรดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หุ้น Derivative Warrant ภาค 3

หุ้น Derivative Warrant ของบริษัทฯ ต่าง ๆ ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
NumberDerivative WExpireExerciseRatio
1ADVA13CA18 กพ 5484.1910 : 1
2BANP13CB30 ธค 53610.0050 : 1
3BANP13CC28 เมย 54750.00100 : 1
4BANP42CA29 ธค 53630.0025 : 1
5BAY13CA7 เมย 5424.004 : 1
6BBL42CA7 เมย 54170.0010 : 1
7CPF08CA22 ธค 5318.812 : 1
8IVL01CA31 มค 5426.002 : 1
9IVL01PA31 มค 5423.002 : 1
10IVL13CA28 ธค 5322.002 : 1
11IVL13CB28 เมย 5435.0020 : 1
12KBAN13CB25 กพ 5491.0010 : 1
13KTB01CA22 กพ 5416.001 : 1
14KTB01PA22 กพ 5413.001 : 1
15KTB13CA24 มีค 5417.004 : 1
16PS13CA30 ธค 5322.502 : 1
17PTT13CC28 ธค 53254.0025 : 1
18PTT13CD9 พค 54320.0050 : 1
19PTT42CA29 ธค 53270.0020 : 1
20PTTA08CA7 เมย 5429.005 : 1
21PTTC13CA17 กพ 54112.0010 : 1
22PTTE13CB25 กพ 54143.5020 : 1
23PTTE42CA25 มีค 54143.0020 : 1
24SCB08CA6 กค 5492.0010 : 1
25SCC13CA3 มีค 54270.0020 : 1
26TCAP13CA30 ธค 5330.504 : 1
27TCAP13CB29 เมย 5438.0010 : 1
28TOP13CA7 เมย 5460.0010 : 1
29TTA13CA3 มีค 5425.002 : 1
หมายเหตุหุ้น DW เมื่อครบกำหนดหมดอายุ บริษัทฯ ที่ออกหุ้นจะคำนวณเงินและ
 โอนเงินเข้าบัญชีลูกค้าโดยอัตโนมัติ (ถ้า DW มีค่า) และลูกค้าต้อง
 เสียภาษีเงินได้ ถ้ามีกำไรจากการแปลง DW ด้วย 
  
 เฉพาะหุ้นที่เป็น put option หรือลงท้ายด้วย PA จะมีการเคลื่อนไหว
 ทิศทางตรงกันข้ามกับหุ้นสามัญเพราะเป็นสิทธิในการขายหุ้น
     
หุ้น DW ทุกตัว มีความเสี่ยงสูงและอายุสั้น ดังนั้น นักลงทุนต้องคอยคำนวณราคาที่
เหมาะสมตลอดเวลา เพราะมีความผันผวนตามหุ้นแม่อย่างมาก ถ้าเล่นถูกทางจะได้
กำไรสูงมาก ตรงกันข้าม ถ้าไปผิดทาง ก็อาจสูญเสียมากเช่นกัน จึงต้องระวังมาก ๆ

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คุณยาย 1 ดอลลาร์ (Grandma 1 USD)

ผู้อ่านเคยได้ยิน นิทานคุณยาย 1 ดอลลาร์ไหม ? น่าจะไม่  คือเรื่องมีอยู่ว่า  คุณยายแก่ ๆ คนหนึ่ง อายุอานามก็กว่า 80 ปีเห็นจะได้ มีทรัพย์สินเป็นจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์   อืม คุณยาย แกทำมาหากินอะไร ถึงได้มีมรดกเหลือเฟือขนาดนี้

คุณยายเล่าว่า เริ่มต้น แกมีเงินลงทุนอยู่ 1 ดอลลาร์  มีความตั้งใจในการลงทุน จึงค่อย ๆ ลงทุนดังนี้

คุณยาย นำเงินไปฝากเพื่อนลงทุนใน ตลาดหุ้นสหรัฐ dow jones ตอน 400 – 500 จุด
เลือกลงทุน ได้กำไรครั้งละ 20 เปอร์เซ็น เท่านั้น ลักษณะการลงทุนเป็นดังนี้
1.ทำกำไร 20 เปอร์เซ็น  ได้รับเงินปันผล  10 เปอร์เซ็น
เดือนแรก  เงิน 1  ดอกเบี้ย  0.2
เดือน 2     เงิน 1.2  ดอกเบี้ย  0.24
เดือน 3     เงิน  1.44  ดอกเบี้ย  0.29
เดือน 4     เงิน  1.73  ดอกเบี้ย  0.35  
เดือน 5     เงิน  2.07   ดอกเบี้ย  0.41
เดือน 6      เงิน  2.49   ดอกเบี้ย 0.5
เดือน 7     เงิน  2.99  ดอกเบี้ย  0.6 
เดือน 8      เงิน  3.58  ดอกเบี้ย  0.72
เดือน 9     เงิน  4.3   ดอกเบี้ย  0.86
เดือน  10   เงิน  5.16   ดอกเบี้ย  1.03
เดือน  11    เงิน  6.19   ดอกเบี้ย  1.24
เดือน  12   เงิน  7.43  ดอกเบี้ย  1.49  ปันผล  0.74
เดือน  13  เงิน  8.92   ดอกเบี้ย  1.78  

ดังนั้น ด้วยวิธีการเช่นนี้  คุณยายจึงมีเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการกำไรจากการลงทุนในหุ้น และเงินปันผล ซึ่งคุณยาย นำเงินไปลงทุนต่อเนื่องทุกครั้ง และนำเงินปันผลไปลงทุนอีกทอดนึง และคุณยายไม่เคยนำเงินลงทุนมาใช้จ่ายเลย  คุณยาย ทำตัวแบบนี้เรื่อยมา จนเวลาผ่านไป 40 ปี    ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ  dow jones พุ่งขึ้นเป็น  10,000 จุด  แล้วมาคำนวณเงินที่เป็นหุ้นในบัญชี ปรากฎว่า มีถึง  5,000 ล้านดอลลาร์ เอง

สรุปได้ว่า แนวทางสร้างเงินของคุณยาย  คือ ลงทุนมาตลอด ไม่เคยหยุดการลงทุนเลย และไม่เคยถอนเงินลงทุนด้วย (คุณยาย ทำงาน มีเงินเดือนประจำ ใช้จ่ายแต่เงินเดือน) เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ธุรกิจเติบโต มีเงินปันผล มีหุ้นปันผล มีการแตกพาร์ แจกวอร์แรนท์   คุณยายก็นำเงินและสิทธิประโยชน์มาลงทุนต่ออีกอย่างมั่นคง ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น มีการทบทวนการลงทุนครบทุก  2-3 ปี เพื่อเปลี่ยนธุรกิจใหม่ เพื่อความมั่งคั่ง (wealth) ทำเช่นนี้ ไปเรื่อย ๆ อดทนและรอคอย แม้นว่า จะมีเหตุการณ์ไม่ดี ยุบสภา แผ่นดินไหว น้ำมันแพง สงคราม โรคระบาด เศรษฐกิจถดถอย  ก็ไม่เคยถอนการลงทุนเลย(นิ่ง ๆ เข้าไว้)  และยังใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส เช่น น้ำมันแพง ก็เลือกลงทุนในหุ้นน้ำมัน เป็นต้น 

น่าอิจฉา คุณยายจังเลย ทำใจได้งัยเนี่ย แต่ก็เป็นไปได้นะ  นักลงทุน อย่าลืมนำเคล็ดลับไปปฏิบัติด้วย

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หุ้น SLC ที่เพิ่มทุน

นักลงทุนควรจับตามองหุ้น SLC  (Solution Corner 1998) คือ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์(1998) จำกัด (มหาชน)  ทำธุรกิจเกี่ยวกับวางระบบซอฟท์แวร์ให้กับบริษัทต่าง ๆ  อาทิ เช่น  การไฟฟ้า  การประปา  หน่วยงานราชการ

งบไตรมาส 2 ปี 53  บริษัทฯ  มีสินทรัพย์รวม 106 ล้านบาท  หนี้สินรวม  90 ล้านบาท  ส่วนของผู้ถือหุ้น 16 ล้านบาท  ขาดทุนสุทธิ  50 ล้านบาท  ขาดทุนต่อหุ้น 0.10 บาท   มูลค่าหุ้นทางบัญชี  0.03 บาท   ราคาพาร์  0.10 บาท  ทุนจดทะเบียน  424 ล้านบาท  ทุนชำระแล้ว  303 ล้านบาท  (ที่มา  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

หุ้น SLC  ได้มีการขายหุ้นเพิ่มทุนได้ทั้งสิ้นจำนวน  2,424,412,800 หุ้น คือประมาณ สองพันสี่ร้อยล้านหุ้น  คิดเป็นเงินจำนวน ประมาณ 242 ล้านบาท  แสดงว่า บริษัทฯ มีเงินสดในมืออยู่จำนวน สองร้อยกว่าล้าน  หากมีขาดทุนสะสมหรือขาดสภาพคล่องอยู่  ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปทันทีเพราะมีเงินสดเหลือเฟือแล้วในขณะนี้

แต่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2,424 ล้านหุ้นนี้ ราคาต้นทุนคือ 0.10 บาท ซึ่งราคาในกระดานปิดที่ 0.16  ก็มีส่วนต่างอยู่ถึง  0.06 บาท คิดเป็นกำไรส่วนเกินถึง 60 เปอร์เซ็นจากที่จองซื้อเพิ่มทุน  ดังนั้น วันที่ 11 พย 53  ตลาดฯ อนุญาตให้ซื้อขายได้ อาจมีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นปริมาณมากได้  จนกว่าผู้เพิ่มทุนจะหยุดขายหรือคาดว่าหุ้นจะขึ้น จึงเก็บไว้ก่อนยังไม่ขาย  เมื่อนั้น นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นในมือ ถึงจะเข้าไปซื้อได้ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ เพราะว่าบริษัทฯ มีเงินสดในมือมาก  การทำธุรกรรมอื่นใด เป็นไปได้ง่าย การลงทุนเพื่อแสวงหากำไรเข้าบริษัทฯ ก็ทำได้ง่าย โครงการ โปรเจ็คใด ๆ ที่น่าจะลงทุนหรือทำกำไรให้ได้  บริษัทฯ มีศักยภาพพอที่จะลงทุนได้  ทั้งนี้ ต้องพิจารณาเรื่องภาระหนี้สินของบริษัทฯ ด้วย  ถ้าเป็นไปตามงบการเงินคือ บริษัทฯ มีภาระหนี้อยู่ 90 ล้านบาท  หากชำระไปเลย ก็เท่ากับบริษัทฯ ปลอดภาระหนี้สินทันที ถือเป็นเรื่องดีของกิจการ

หากนักลงทุนสนใจเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ ก็ต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้ และหาคำตอบให้เจอว่า บริษัทฯ น่าจะนำเงินไปลงทุนทำกำไรให้ได้อย่างไร เพราะเงินสดเต็มมือ เป็นสิ่งที่หลาย ๆ กิจการ ควรจะมีและพึงต้องมีด้วย  เมื่อนำเงินเพิ่มทุนไปรวมในงบการเงิน ส่วนของผู้ถือหุ้นจะมีเป็น 258 ล้านบาททีเดียว  งบการเงินในไตรมาสต่อไป จะดูดีมาก ทั้ง ๆ ที่บริษัทฯ ยังไม่ได้ดำเนินกิจการใด ๆ เลย

ดังนั้น  นักลงทุนที่สนใจหุ้นตัวนี้ ก็ลองคิดพิจารณาสิ่งนี้ด้วยว่า จะเกิดผลดี ผลเสีย อย่างไรกับบริษัทฯ นี้  แต่อย่าลืมว่า ต้องเผชิญกับแรงเทขายจากต้นทุน 0.10 บาท ด้วยขนาดมหึมาด้วย  หยุดขายเมื่อไหร่ ก็น่าสนใจทีเดียว หรือถ้ามีแรงซื้อขึ้นมา ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นด้วย

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีเล่นหุ้นให้ขาดทุน

นักลงทุนที่มีประสิทธิภาพควรจะรู้จักการขาดทุนในการลงทุน เพราะเจ็บแล้วจะได้จำ ไม่ประมาทและหลงระเริงกับผลกำไรที่เกิดขึ้นในขณะที่ยังอยู่ในระหว่างการลงทุน  ตราบใดที่ การลงทุนยังคงดำเนินอยู่ เราก็ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ  การลงทุนบางครั้ง ต้องขาดทุนเพื่อกำไร  ฟังแล้วอาจจะงง งง ก็ได้  หมายความว่า ขาดทุนวันนี้ เพื่อกำไรในวันหน้า  ไม่ใช่ขาดทุนวันนี้ และก็ยังขาดทุนในวันหน้า อันนี้ก็ไม่ถูกต้อง

การขาดทุนทำให้เราคอยเตือนตนเองเสมอว่า อย่าได้ประมาท และหลีกเลี่ยงกระบวนการความเสี่ยงเดิม ๆ ที่ส่งผลให้ขาดทุน หรือถ้าเราเล่นในแนวเดิมแล้วมาขาดทุนเหมือนเดิม เช่นนี้ ชีวิตอาจติดลูป อยู่ในวังน้ำวนได้  เราจึงต้องรีบออกจากวังวนโดยด่วนก่อนที่จะขาดทุนหนักไปมากกว่านี้

วิธีการที่นักลงทุนหรือนักเก็งกำไร มักจะขาดทุน ได้แก่
1.ซื้อเช้า ขายบ่าย  ซื้อเมื่อตลาดฯ เปิด ได้ราคาสูง แล้วขายเมื่อตอนปิดตลาดฯ ซึ่งราคาปรับตัวลดลงไป  กลายเป็นเล่น net settlement  ซึ่งทำให้ตนเองเสียเปรียบในราคาขายเมื่อปิดตลาดฯ
2.ซื้อเมื่อข่าวของหุ้นตัวนั้น ๆ ประกาศออกมา โดยที่หุ้นตัวนั้นขึ้นมารอรับข่าวสารดังกล่าวแล้ว (ถ้ายังไม่ขึ้นรับข่าว ก็อาจส่งผลให้ได้กำไร) โอกาสที่นักลงทุนหรือเก็งกำไร จะบาดเจ็บมีสูงมาก
3.ชอบซื้อหุ้นถูก ๆ หรือตกอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน กล่าวคือ เล่นหุ้นที่ใคร ๆ ก็ไม่เอาแล้ว ดันเข้าไปแบกรับไว้ โอกาสที่จะเสียหายหรือเสียเปรียบมีสูง และยิ่งซื้อเฉลี่ยราคาเพิ่มอีก ยิ่งตกซ้ำ ทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิมอีก จนสุดท้าย ต้องขายทิ้งในราคาต่ำมาก ๆ  และขาดทุนหนักในที่สุด
4.ซื้อหุ้นโดยไม่มีเงินสดถือครองหุ้น กล่าวคือ เมื่อเข้ามาแล้ว ต้องออกภายในวันเดียว เล่นแบบนี้ อาจจะได้ตังวันนึง  เสียตังวันนึง  แต่เมื่อรวมทุก ๆ วันเข้าด้วยกันแล้ว สรุปรวมคือเสียร้อยเปอร์เซ็น แต่นักเก็งกำไรก็ชอบ เพราะกลัวติดหุ้น ไม่นิยมนำเงินเข้าระบบ แต่มีปัญญาจ่ายเงินค่าส่วนต่างราคาเมื่อสิ้นวันทำการ  ถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ  ก็สวัสดี  มีเงินทุนเหลืออยู่เท่าไหร่ ก็ต้องหมดแน่นอน
5.หุ้นที่มีผลดำเนินงานขาดทุนมาตลอด และก้ำกึ่งว่าจะโดนเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ หรือถูกห้ามซื้อขายโดยตลาดหลักทรัพย์  ถ้าไม่จำเป็น อย่าได้เข้าไปยุ่งเป็นอันขาด ถ้าเล่นควรให้จบภายในช่วงเวลาเดียว ไม่ควรยืดเยื้อหรือถือครองข้ามวัน เพราะอาจโดนห้ามซื้อขายเมื่อไหร่ก็ได้
6.หุ้น warrant หรือ derivative warrant  ถ้าผู้เล่นไม่ชำนาญ อาจส่งผลให้เงินทุนหมดทั้งจำนวนได้เลย  จริงอยู่อาจได้กำไรภายในวันเดียวมากกว่า 30 เปอร์เซ็น  ในทำนองเดียวกัน อาจขาดทุนวันเดียว 30 เปอร์เซ็นเช่นกัน ถ้าไม่ระวัง  ยิ่งเล่น net settlement ในหุ้นประเภทนี้ ยิ่งเสียเปรียบคนที่ถือครองหุ้นได้ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ

นักลงทุนท่านใด อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใด พึงระลึกไว้เลยว่า โอกาสที่จะเสียหายจากการลงทุนได้มาถึงท่านแล้ว  โปรดหลีกเลี่ยงวิธีดังกล่าวข้างต้นให้เร็วที่สุด