วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

หุ้นตก หุ้นลง ทำไงดี ?

นักลงทุนเคยกังวลว่า เมื่อหุ้นตกมาก หรือเป็นขาลง ควรจะดำเนินการอย่างไรกับหุ้น หรือจะเล่นวิธีไหนดี  ผู้เขียนมีคำตอบซึ่งเป็นทางเลือกให้ใช้อยู่หลายวิธีดังนี้

1.     ถือเงินสดไว้ในมือ หากนักลงทุนไม่รู้ว่าจะเล่นหุ้นตัวไหนดี  คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ไม่ต้องเล่น อยู่เฉยเฉย  รอให้คลื่นลมสงบก่อน แล้วจึงค่อยลงมือเล่น  ถือคติ  ไม่เล่น  ไม่เสียเงิน  นี้เป็นวิธีคิดแบบง่ายง่ายและเอาตัวรอดได้ดีในทุกยุคทุกสมัย
2.     ขายหุ้นบางส่วนซึ่งมีโอกาสลงตามตลาด แล้วถือเงินสดไว้  ถ้าหากนักลงทุนเห็นแล้วว่า หุ้นที่อยู่ในบัญชีมีแนวโน้มลงอย่างชัดเจนมากกว่า 80 เปอร์เซ็น  คำแนะนำคือ ขายแล้ว รอซื้อคืนกลับมาที่ราคาต่ำกว่าที่ขาย เราเรียกว่า  short against port  จุดซื้อคืนคือ พอใจซื้อคืนราคาไหน ก็ซื้อได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ลงถึงเท่านั้นเท่านี้ เพราะหุ้นตัวที่เราขาย อาจเด้งขึ้นมาอย่างแรงก็ได้
3.     เล่นหุ้นเก็งกำไรบางตัวที่มีโอกาสเติบโตในภาวะที่หุ้นกระดานหลักปรับตัวลง  สังเกตุง่ายง่ายคือ หุ้นในกระดาน 90 เปอร์เซ็นอ่อนตัวลง  แต่มีบางตัวปรับตัวสูงขึ้นอย่างช้าช้า หรืออย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่สนใจตลาดฯ โดยรวมแม้แต่น้อย  นั่นแหล่ะ คือ หุ้นที่ควรซื้อเก็งกำไรหรือลงทุน
4.     เล่นหุ้นประเภท Derivative Warrant ลักษณะ Put Option คือ  XXX-PX  ทุกตัว ที่ใช้สิทธิในการขาย เช่น  KTB01PA  หากหุ้น KTB  ราคาลดลง  หุ้น 01PA จะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุน ต้องดูราคาแปลงสิทธิและวันหมดอายุด้วย เพื่อจะได้กำหนดราคาเล่นได้อย่างถูกต้อง
5.     เล่น TFEX   คือ เล่น short Futures ใน SET50 INDEX แทนการซื้อหุ้น หรือ short  Future ของหุ้น   วิธีนี้ เหมาะสำหรับ ผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูง และเล่น Futures เป็น เท่านั้น เรียกได้ว่า อยู่ในขั้น advance หรือ complicated  นักลงทุนธรรมดาไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะจะเสียเงินสถานเดียว   นอกจากนี้ TFEX  ยังเหมาะกับนักลงทุนที่มีการลงทุนในบัญชีหุ้นเป็นมูลค่ามากมาก เช่น ลงทุนเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป  เช่นนี้ ควรใช้เครื่องมือ TFEX ให้เป็นประโยชน์  ด้วยการ short futures  ลดความเสี่ยงของหุ้นสามัญ  (รายละเอียด สอบถามโบรกเกอร์ของท่านได้)

วิธีการดังกล่าวข้างต้น  คงจะเพียงพอต่อการช่วยคลายความกังวลเมื่อประสบกับภาวะหุ้นตก หรือขาลงได้ ไม่มากก็น้อย และหวังว่านักลงทุนคงจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน และจะได้ไม่กลัวหุ้นลงอีกต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ดัชนีเดินหน้าหนึ่งพันห้าร้อยจุด

จากการพิจารณาภาพรวมหลาย ๆ ด้าน ผู้เขียนเห็นว่า SET INDEX  มีโอกาสเดินหน้าไปถึง  1,500 2,000 จุด  เนื่องจากปัจจัยหลายด้านดังนี้

1.ด้านเศรษฐกิจ ( Economics Factor)
แม้นว่า เศรษฐกิจต่างประเทศ อย่างยักษ์ใหญ่อเมริกา  หรือยุโรป จะประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำ ด้านการเงิน หรือฟองสบู่ อะไรก็ตาม  แต่ประเทศไทยไม่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจเลย  ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ ตลาดไทยน่าสนใจเป็นอย่างมากต่อนักลงทุนโลก  เราคงไม่เห็นบ่อยนักว่า ต่างประเทศแย่ แล้วประเทศเรายังดีอยู่ แต่มันก็เป็นไปแล้ว   ยิ่งภาคการผลิต ภาคการเกษตร ไทยยังเติบโตก้าวหน้าอยู่ เช่นนี้ ยิ่งทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ดูดีมีอนาคตไปเลยทีเดียว

2.ด้านการเมือง (Political Factor)
ดูไปแล้ว รัฐบาลคงอยู่ครบวาระซึ่งนั่นก็หมายความว่า ปีนี้ปัจจัยด้านการเมืองนิ่ง  ไม่มีผลกระทบใดใดต่อตลาดหุ้นไทย  หรือต่อให้มีความเคลื่อนไหวทางการเมือง  นักลงทุนก็มีภูมิคุ้มกันด้านการเมืองเรียบร้อยแล้ว  จึงไม่ส่งผลต่อตลาดโดยรวมสักเท่าใดนัก  บรรยากาศดีดีแบบนี้  ตลาดหุ้นก็คงไม่สนใจประเด็นนี้อีกต่อไป

3.ด้านตัวหุ้น (Products Factor)
ราคาหุ้นส่วนใหญ่ ร้อยละ 80  มีแนวโน้ม เติบโตสูงขึ้น ราคาหุ้นทำ new high หลาย ๆ ตัว  รวมถึง กลุ่มอุตสาหกรรมหลาย ๆ กลุ่ม ก็ปรับตัวสูงขึ้น สร้างสถิติใหม่อย่างที่ไม่เคยมี   และยังมีแนวโน้มว่า จะยังคงสร้างสถิติใหม่ได้อีก จนกว่าจะเกิดอาการอิ่มตัว  ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกพักใหญ่เลย  แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ตลาดพุ่งขึ้นไปอีกหลายร้อยจุด

4.ด้านตลาดหลักทรัพย์ (Market Factor)
ยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกมาก ที่รอจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นไทย  แสดงให้เห็นว่า อัตราการเติบโตของตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มสูง  ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง  เพราะบริษัทที่เข้ามาใหม่ ก็จะส่งผลทำให้ ดันดัชนีขึ้นไปเรื่อย ๆ   ตัวที่ไม่ไปก็หยุดอยู่  แต่ตัวใหม่ก็สร้างสถิติใหม่จนกว่าจะหมด  ซึ่งมันก็ยังไม่หมดเพราะรอเข้ามาจดทะเบียนกันอีกมาก  ทุนก็จะท่วม ล้นตลาด ทีเดียว

5.ด้านปัจจัยจิตวิทยาการลงทุน (Psychology Factor)
นักลงทุนเห็นดัชนี เดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ  ก็คาดหวังว่า การลงทุนคงจะดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร  ยิ่งมีการขายเกิดขึ้นมากเท่าไหร่  โดยดัชนีก็ยังไม่ต่ำกว่า  1,000 จุด  ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ฐานตลาดทุนเข้มแข็ง และแข็งแกร่งอย่างมาก  เมื่อหมดแรงการขาย  ก็เหลือเพียงการขึ้นเท่านั้น  หากมีการขยับปรับฐานขึ้นไปอีก  นักลงทุนจะกล้าเพียงพอในการลงทุนเพื่อแสวงหากำไรใหม่ ๆ  แทนการเก็บเงินฝากธนาคาร

จะเห็นได้ว่า  ปัจจัยต่าง ๆ  เหล่านี้ ส่งเสริม สนับสนุนให้ตลาดโต และเติบใหญ่ ซึ่งก็ไม่ต่างจาก ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก  การเติบโตก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ดังนั้น โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะเป็นตลาดกระทิงขนาดใหญ่  ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว